โฆษก กฟผ. แจง กรณีองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ออกแถลงการณ์ค้านสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ยืนยันถ่านหินยังเป็นพลังงานหลักของโลก ชี้โรงไฟฟ้าของ กฟผ.ใช้เทคโนโลยีการผลิตและกำจัดมลสารที่ทันสมัยที่สุดที่มีการใช้แล้วทั่วโลก

นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี รองผู้ว่าการประจำสำนักผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)    ในฐานะโฆษก กฟผ. ชี้แจงว่า ตามที่ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.) ออกแถลงการณ์ค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 มีข้อความคลาดเคลื่อนหลายประการ เกรงสร้างความสับสนให้กับสังคม จึงขอเรียนชี้แจงดังนี้

ไฟฟ้า เป็นนโยบายการพัฒนาพลังงานตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศทุกฉบับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาพลังงานที่มีความมั่นคงและกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเกือบร้อยละ 70 ซึ่งแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับปัจจุบัน หรือ PDP2015 มีเป้าหมายลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติจากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 37 และเพิ่มการใช้ถ่านหินจากร้อยละ 18 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 23 ในปี 2579

สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาพลังงานของโลก ที่ทั่วโลกมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าร้อยละ 40 โดยประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกาใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าร้อยละ 33 เยอรมนีร้อยละ 40 ออสเตรเลียร้อยละ 63 อินเดียร้อยละ 75 จีนร้อยละ 72 เกาหลีใต้ร้อยละ 42 ญี่ปุ่นร้อยละ 32 มาเลเซียร้อยละ 38 เป็นต้น

ในประเด็นที่กล่าวว่า ทั่วโลกจะเลิกใช้ถ่านหินนั้น ในความเป็นจริงมีบางประเทศประกาศจะเลิกใช้ถ่านหิน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังต้องการเวลาอีกหลายสิบปีในการเปลี่ยนผ่าน เช่น เยอรมนี ประกาศจะเลิกใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าในปี 2050 หรืออีก 33 ปีข้างหน้า อังกฤษประกาศจะเลิกใช้ถ่านหินในปี 2025 โดยในปีดังกล่าวจะนำพลังงานนิวเคลียร์ที่กำลังก่อสร้างเข้ามาใช้ทดแทน ซึ่งสะท้อนว่าถ่านหินยังมีความจำเป็นและมีบทบาทสำคัญต่อการผลิตไฟฟ้าของโลก ประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงยังไม่มีแผนเลิกใช้ถ่านหิน ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งอาเซียน ทั้ง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) ได้คาดการณ์การใช้พลังงานของอาเซียนว่า จะใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าเพิ่มจากร้อยละ 32 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 50 ในปี 2583

โรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เป็นอุปสรรคในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ

ในประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจก ที่ระบุในแถลงการณ์ว่า การประชุมลดก๊าซเรือนกระจก ให้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น ในความเป็นจริงที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP – 21) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้รับรองแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ (INDC) ตามหลักความรับผิดชอบ และสถานการณ์ของประเทศที่แตกต่างกัน โดยประเทศไทยซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงร้อยละ 0.9 ของโลก ได้ให้สัตยาบันจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 – 25 ในปี 2030 เมื่อเทียบกับไม่มีมาตรการใดๆ

ในการให้สัตยาบันดังกล่าว ยังได้ผนวก PDP2015 ไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดแล้ว ยังมีมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ประกอบด้วย การเพิ่มการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2579 การปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า และการอนุรักษ์พลังงาน (DSM) จึงกล่าวได้ว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เป็นอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ในการประชุม COP21 แม้ว่าองค์กรเอกชน จะเรียกร้องให้โลกเดินหน้าสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังเป็นไปไม่ได้ จึงไม่มีมติใดๆ โดยจะหยิบยกเรื่อง พลังงานหมุนเวียน 100% มาพูดคุยใหม่อีกครั้งหลังปี 2050 แสดงให้เห็นว่า โลกต้องใช้เวลาอีกมากในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนให้สามารถพึ่งพาได้ และในราคาที่เหมาะสม

ถ่านหินมีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง สามารถลดการปล่อยมลสาร ให้อยู่ภายใต้มาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้นในแต่ละประเทศ ทำให้มีโรงไฟฟ้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ในประเทศที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสูง เช่น ในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น เป็นต้น

สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินของ กฟผ. ทั้งโรงไฟฟ้ากระบี่ เทพา และแม่เมาะทดแทน ได้นำเทคโนโลยีการผลิตและกำจัดมลภาวะที่ทันสมัยที่สุดที่มีการใช้แล้วทั่วโลก เช่น หม้อต้มไอน้ำแบบ Ultra – supercritical ที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและคาร์บอนไดออกไซด์ กว่าร้อยละ 20 อุปกรณ์กำจัดมลภาวะ อาทิ เครื่องดักฝุ่นประสิทธิภาพร้อยละ 99 เครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และออกไซด์ของไนโตรเจน ประสิทธิภาพร้อยละ 97 – 99 เครื่องกำจัดไอปรอท เป็นต้น ซึ่งการลงทุนในอุปกรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าถึงร้อยละ 30 ของโครงการฯ

กฟผ. ในฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ยึดมั่นภารกิจในการจัดหาพลังงานที่มั่นคง เพื่อเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่ได้มุ่งแสวงหาประโยชน์เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในการดำเนินโครงการพัฒนาพลังงาน          โดยตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของสังคม และสิทธิของชุมชน เพื่อให้การพัฒนาพลังงานของประเทศ ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ยินดีรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ  ความเห็นที่แตกต่าง และพร้อมชี้แจงทุกประเด็นสงสัย เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีร่วมกันต่อไป