พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล | ผู้ที่ถูกเลือกจากองค์พระนารายณ์มหาเทพ

 

SUPER RICHY

พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล , 34 ปี

วิทยากรแนะนำการนั่งสมาธิเพื่อแก้กรรม

 

สัมภาษณ์โดย คุปต์ มะรินทร์

 

บทสนทนานี้เกิดขึ้นช่วงที่ผู้เขียนและเพื่อนรุ่นน้องอย่าง คุปต์ มะรินทร์ เราต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่า น่าจะสัมภาษณ์ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นข่าวใหญ่โต และถูกกล่าวถึงอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์ยุคนั้น เพราะเขาบอกว่าสามารถสื่อสารกับองค์นารายณ์มหาเทพได้ และสอนให้คนนั่งสมาธิแก้วิบากกรรมมานักต่อนัก บุคคลที่กล่าวถึงนี้ก็คือริชชี่พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมลหรือที่หลายคนเรียกว่าซูเปอร์ ริชชี่นั่นเอง

ฟังดูก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนั่นแหละ ซึ่งเป็นกระแสร้อนแรงในยุคนั้นจริงๆ ถึงข่าวริชชี่จะจางหายไปเป็นสิบปี แต่หลายคนก็คงแอบนึกถึงเขาอยู่ และเราก็ได้ข่าวคราวมาว่า ทุกวันนี้เขาผันตัวเองมาเป็นวิทยากรสอนการนั่งสมาธิแก้กรรมอย่างจริงจังไปแล้ว

มันจึงเป็นต้นตอของการอยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไง ภารกิจสำคัญจากองค์นารายณ์มหาเทพที่ต้องการให้ช่วยเหลือผู้คนยังมีอยู่ไหม และปัจจุบันนี้เป็นยุคดิจิตอล ยังจำเป็นอยู่อีกหรือที่มวลมนุษย์ยังจะต้องแก้กรรม รวมถึงอีกหลายเรื่องราวต่างๆ จึงทำให้เราติดต่อริชชี่ขอสัมภาษณ์เป็นการด่วน

ก่อนนัดเจอกับริชชี่ตัวเป็นๆ เราก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ไม่เคยเจอตัวจริงริชชี่ เห็นแต่ภาพของเขาตามสื่อที่เคยออกมานาน ซึ่งก็คือหนุ่มผมยาว สวมแว่น และยิ้มเก่ง

ครั้งนี้ได้มาเจอกัน ขอบอกว่าริชชี่ดูเป็นหนุ่มเนิร์ดๆ ไว้ทรงผมสั้น ลุคนิ่งๆ และดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แน่นอนว่าเขา อัธยาศัยดี ยิ้มเก่งเหมือนในภาพที่ลงสื่อจริงแท้ไม่ไก่กา ทุกบทสนทนาเต็มไปด้วยความสนุก แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด ธรรมะดีๆ และการแก้กรรมที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย การสนทนาชั่วโมงกว่า ทำให้เรารู้สึกว่ามันคุ้มค่าจริงๆ ที่ได้มาคุยกับผู้ชายคนนี้ ไม่แน่ อ่านบทสัมภาษณ์นี้จบแล้ว คุณอาจจะเห็นความสำคัญของการนั่งสมาธิแก้กรรมก็ได้

คุปต์ทักทายริชชี่ว่าไม่ค่อยเห็นคุณริชชี่ออกสื่อเลย หายไปไหนมา?”

ที่ผมหายไป เพราะไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์มาครั

หากพูดถึงเรื่องราวของริชชี่ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยเพราะเรื่องราวของเขาที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถูกบันทึกลงในหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คที่มีชื่อว่า “Super Richy (it’s not easy to be me) อุบัติการณ์มหัศจรรย์

ถือเป็นหนังสือเล่มแรกที่หยิบยกเรื่องราวชีวิตจริงของริชชี่ ตอนนั้นเขาอยู่ในวัย 22 ปี เขาบอกว่า ค้นพบพลังพิเศษนี้มาตั้งแต่เด็ก สามารถสื่อกับญาณมหาเทพ อย่าง องค์พระนารายณ์ ได้อย่างเหลือเชื่อ จึงสามารถที่จะล่วงรู้อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต อีกทั้งยังสามารถใช้พลังจิตอันมหัศจรรย์ในการระลึกชาติ และเห็นเหตุการณ์ในอดีต ช่วยเหลือผู้คนนับหมื่นให้พ้นทุกข์จากการนั่งสมาธิเพื่อแก้กรรม

เขาเริ่มภารกิจนี้มาตั้งแต่อายุ 13 ปี ซึ่งสมัยนั้นริชชี่ยังเรียนอยู่ชั้น .2 โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่

 

ริชชี่ ในรายการ วีไอพี (VIP) ทางช่อง 9 อสมท. ออกอากาศเมื่อวันที่ 15 .. 2550

 

ซึ่งตรงนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้สื่อหลายแขนง ต่างนำเรื่องราวของริชชี่ตีแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง และหันมาจับจ้องเล่นข่าวความมหัศจรรย์ของเด็กผู้ชายคนนี้กันยกใหญ่ จนเขาถูกเชิญไปออกสื่อหลายรายการ แม้กระทั่งรายการโทรทัศน์ยอดฮิต ชื่อรายการ วีไอพี (VIP) ทางช่อง 9 อสมท. เมื่อวันที่ 15 .. 2550 ดำเนินรายการโดย 2 พิธีกร ที่ดังสุดขีดในขณะนั้นคือ คุณตุ๊ก ญาณี และ คุณพอล ภัทรพล

ซึ่งริชชี่ได้เล่าประวัติ ปาฏิหาริย์ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากองค์นารายณ์มหาเทพ ไปจนถึงบทสรุปของวิธีการแก้กรรมโดยไม่ต้องใช้เงิน เลยยิ่งกลายเป็นเรื่องทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ ให้คนทั้งประเทศสนใจในตัวผู้ชายคนนี้ขึ้นไปอีก หลังจากนั้นไม่นานก็มีกระแสตีกลับบนโลกออนไลน์ แน่นอนว่า คนร่วมสมัยในยุคนั้น ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวปาฎิหาริย์พระนารายณ์มหาเทพของริชชี่เท่าไหร่นัก

จากความกดดันกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำให้ริชชี่ที่ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มประสบการณ์น้อย ทนกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบได้ไม่มากพอ จึงค่อยๆ ถอยห่างออกมาจากการถูกต่อว่า และไม่ออกสื่อใดๆ อีก แต่ด้วยมีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่ได้อ่านหนังสือของริชชี่ และเคยได้ฟังหนุ่มริชชี่พูดในรายการต่างๆ จิ๊กซอว์เรื่องการนั่งสมาธิแก้กรรมดังกล่าวที่สะสมไว้ในตัวของพวกเขาเหล่านั้น กลับถูกต่อจนครบลงตัวพอดี หลายคนหลายหน่วยงานจึงมีการติดต่อขอให้ริชชี่ไปบรรยายเรื่องการนั่งสมาธิแก้กรรมอยู่บ่อยๆ

เหตุผลนี้เองเป็นแรงผลักดันให้ริชชี่สานต่อในความตั้งใจที่มีมาแต่ต้น ได้ก้าวสู่การเป็นวิทยากรสอนการนั่งสมาธิเพื่อแก้กรรมอย่างเต็มตัว

คุปต์ มะรินทร์ ผู้ประกาศข่าว , พิธีกร ได้มาพูดคุยกับ ริชชี่ ในครั้งนี้ 

 

ตัดภาพกลับมายังการสัมภาษณ์ ตอนนี้ คุปต์และริชชี่นั่งสนทนากันอย่างเรียบง่าย ได้ทั้งความรู้ และอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม ในวันที่ทุกคนอาจจะลืมเรื่องราวของซูเปอร์ริชชี่ไปแล้ว แต่การมาอยู่ตรงนี้ของเขา คงไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วยแน่ๆ หรือหวังแต่จะพึ่งบารมีขององค์นารายณ์มหาเทพอย่างเดียวก็ไม่ หากแต่สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจของเขามีความพยายาม และแน่วแน่ในการอยากจะช่วยเหลือผู้ค้นให้พ้นจากกรรมอย่างจริงใจ 

ยังมีเรื่องราวอีกหลายมุมที่ใครต่อใครอาจไม่เคยรู้ เราจึงอยากชวนให้ทุกคนมาเปิดใจ แล้วลองมาทำความรู้จักเขาด้วยตาเปล่าอย่างที่ควรเป็นกันดูสักที

วันเวลาเปลี่ยน ภารกิจไม่เปลี่ยน

จริงๆ วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไปตามวัยมากกว่า คือถ้าเปรียบเทียบเมื่อตอนที่เราช่วยคน วัยนั้น เริ่มต้นตอนที่ออกบรรยายต่อมวลชนตอนอายุ 23 แล้วก็บรรยายมาเรื่อยๆ ก็เหมือนกับช่วงนั้นเป็นวัยรุ่น ถือว่าเป็นวัยรุ่นตอนต้นๆ ปลายๆ ได้ ตอนนี้ก็เริ่มเป็นวัยกลางคนแล้ว ความคิดมันเริ่มเปลี่ยน วิถีชีวิตมันเปลี่ยนไปตามวัยตามกาลเวลา ความคิดเราก็ต้องเปลี่ยน ตอนนั้นเราบรรยายเราอาจจะด้วยความที่ว่า เราอยากสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการธรรมะ มีครั้งหนึ่งผมไปบรรยายที่ลำปาง ผมมองว่าคนมักจะตีกรอบในเรื่องของธรรมะ ว่าจะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือต้องเป็นคนที่มีอายุเยอะๆ มาพูด ตอนนั้นผมตัดสินใจ ใส่กางเกงสีเหลือง สวมแจ็คเก็ตหนัง และใส่แว่นตาดำขึ้นเวที เพื่อที่เราจะฉีกกรอบที่ว่า จริงๆ แล้วธรรมะไม่ได้อยู่ที่การแต่งกายนะ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่วัยนะ ธรรมะสำหรับเด็กอายุเท่านี้ ก็สามารถเผยแพร่ธรรมะได้ด้วยเช่นกัน

“…เราก็ยังเป็นคนอยู่ กระแสดีเราก็รู้สึกดีใจว่า เราทำมาตั้งแต่เด็ก ทำมาตั้งแต่อายุ 13 มันไม่ศูนย์เปล่าไป แต่กระแสลบถามว่ามันมีเข้ามาไหม มันก็มีที่คนไม่เชื่อ จริงๆ อยู่ที่วิจารณญาณในการชม เป็นความคิดของส่วนบุคคลนั้นแหละ เราไปห้ามความคิดคนไม่ได้ แต่ถ้าสมมุติคนที่เริ่มแรกเนี่ย เขาอาจจะมองว่าเราเพี้ยน เราก็ถือว่ายอมรับความคิดเขานะครับ เพราะจริงๆ เพื่อนเรายังว่าเราเพี้ยนเลย แต่พอไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าท้ายที่สุด คนที่คิดว่าเราเพี้ยน กลับมาขอความช่วยเหลือจากเราก็มี หรือบางทีพ่อแม่เขาป่วย หรือญาติพี่น้องเขาป่วย เขากลับมาขอความช่วยเหลือเราก็มี ดังนั้นเราอย่าไปสนใจคนที่เราไม่เคยรู้จัก หรือที่พิมพ์มาต่อว่าแต่หน้าจอ นั่นแหละเราจะเอาจิตเราไปตกกับเขาทำไม

มีช่วงหนึ่งนะที่ผมจิตตกจริงๆ ว่า ทำไมคนพวกนี้ถึงพูดได้ขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่คนละแบบกับที่เขาพูด เขายังไม่ได้มารู้เลยว่าเราทำอะไร ถ้าเราเอาจิตไปคิดกับคนแค่ไม่กี่คนในกระทู้พวกนั้น แล้วคนที่รอเราอยู่อีกตั้งกี่คนล่ะ เราไม่ได้ช่วยเขาเลยเหรอ เราจะมาหยุดกับแค่คำพูดคนไม่กี่คนเหรอ โอเคไม่สนใจ ทำต่อไปเรื่อยๆ ทำให้เเขาเห็น แล้วทำให้รู้เลยว่า ถ้าคุณพูดแบบนี้คุณทำได้อย่างผมไหม ทำให้มันเกิดไปเลยว่า โอเค เด็กที่ในวัยเท่านี้ คนมาฟังเราทำไม คนที่มาฟังไม่ใช่คนโง่นะครับ คือผมไม่รู้หรอกว่าคนที่มาฟังในห้องประชุมมีใครบ้าง แต่แน่นอนเป็นด็อกเตอร์ก็มี ครูบาอาจารย์ก็มี พระสงฆ์ก็มี ผู้ปฏิบัติธรรมก็มี ทำไมเขาถึงมาฟังเรา เขาอาจจะอยากได้อะไรจากเราหรืออย่างไร ซึ่งมันก็เป็นเพราะหน้าที่ที่พระนารายณ์ ท่านอยากให้เราเผยแพร่ไปเรื่อยๆ

หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค Super Richy และ หนังสือบอกเล่าเรื่องกรรม จัดทำเพื่อเป็นธรรมทาน

 

ริชชี่ และความผูกพันกับองค์นารายณ์มหาเทพ

ยังเกี่ยวข้องกันครับ คือองค์นารายณ์เป็นเทพที่จิตท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์นั่นแหละครับ คือยังไงก็ตาม ก็ยังอยากให้คนได้พ้นจากความทุกข์เบื้องต้นก่อน คราวนี้ที่บางคนในอดีตชาติที่เคยมีความเกี่ยวข้องกันมา มีสายใยกันมา อาจจะช่วยได้มากขึ้นกว่าคนทั่วไป องค์นารายณ์ท่านรอบรู้มากกว่าผมเยอะมากๆ ซึ่งท่านจะสื่อให้ข้อความกับผมมา หรือว่าจะให้บทบาทเรามาทำ ตอนไหน ท่านจะวางกรอบให้เราเอง แล้วให้เราเดินไปเอง คือระหว่างทางเดิน ถ้าไม่ออกซ้าย ไม่ออกขวา ไม่หลุดกรอบแน่นอน แต่ท่านให้อิสระผมนะครับ ไม่มีข้อห้ามอะไรเลย ขอแค่ทำตามนี้พอแล้ว ก็ทำไป ซึ่งในระหว่างที่ทำไป จริงๆ ผมไม่ค่อยมีสาระอะไรมากนะ เวลาผมบรรยายจะใส่มุขตลกลงไปด้วย เพราะคนเขาเครียดกันอยู่แล้ว จะมานั่งเครียดกันทำไมอีก เราจึงเอาเรื่องเครียดมาให้เป็นเรื่องตลกหน่อย เพื่อที่ว่าคนฟังแล้วคลายความทุกข์ในใจกับเราไป

ไม่ใช่ผู้วิเศษ ผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง

คนเห็นริชชี่สื่อผ่านพระนารายณ์ได้ ต้องยกมือไหว้ไหม? “..อันนั้นคือคนเขาคิดกันเอง ถ้ามองดูผมก็เป็นคนธรรมดา เพียงแต่ว่าเราสายตาสั้นไงครับ เราใส่แว่นมันก็เลยดูภูมิฐานขึ้น มันอาจจะดูเหมือนคนฉลาดหรือว่าอย่างไร แต่ว่ายุคนึงที่เราไว้ผมยาว มันก็อีกลุคนึง ถามว่าอยากไว้ผมยาวไหม ก็อยากไว้ครับ แต่ว่าวัยมันไว้ไม่ได้แล้วครับ เพราะเปลี่ยนไปตามวัย คราวนี้คนจำเราได้ไหม คนจะติดภาพเราว่าผมยาว ใส่แว่น แต่พอเราตัดผมสั้น เดินสวนคนที่รู้จักยังลืมเลยครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมตัดผมเข้าบ้านไป แม่ยังนึกว่ามีแขกมาหา คุณแม่จำไม่ได้ (หัวเราะ)”

หน้าที่ที่ริชชี่ต้องพึงปฎิบัติ

จริงๆ แล้ว ภารกิจมันดูเหมือนเป็นพวกทางการทหารเลยนะ แต่ใช้ชีวิตแบบนี้นะครับ คือองค์นารายณ์จะบอกผมว่า คุณต้องทำยังไงก็ได้ที่ไม่ให้เบียดเบียนคนอื่นก่อน เอาคนอื่นเป็นที่ตั้งก่อนนะครับ คือสังเกตคนเรา มีตัวเรากับคนอื่น สังคมคือคนหนึ่งคนจะไม่เรียกว่าสังคม แต่มากกว่าสองคนขึ้นไปมันคือสังคมละ เพราะฉะนั้นมันต้องเกี่ยวเนื่องกับบุคคลที่สอง บุคคลที่สาม บุคคลที่สี่ บุคคลที่ห้า ดังนั้นการที่เราไม่เบียดเบียนคนอื่นก่อนถือว่าดี พอเราไม่เบียดเบียนคนอื่นปุ๊บ แล้วมาย้อนดูตัวเองว่า เราเบียดเบียนตัวเราเองไหม บางการกระทำเราไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนตัวเราเอง เราก็ทุกข์เอง ดังนั้นถ้าเราตีความหมายคำว่าศีลห้าข้อออกเนี่ย ศีลห้าข้อถ้าแปลออก มันก็คือการไม่เบียดเบียนคนอื่น และไม่เบียดเบียนตัวคุณเอง แค่นั้นเองครับ

เราไม่ต้องมานับเหมือนตอนเด็กๆ ว่าข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ ถ้ายุงกัดเราต้องตบ ข้อที่สอง ถ้าเขาหลับ เราก็หยิบ มันกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว แต่จริงๆ ถ้าเราตีความหมายของศีลออก ศีลคือความปกติ ความปกติที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ถ้าคุณอยู่ในศีลห้าข้อนี้ได้ ชีวิตคุณไม่เจอเรื่องทุกข์แน่นอน แต่คนเราพลาดไง คนเราตีโจทย์ไม่ออก คนเราเผลอพลาดทำ ชาติที่แล้วก็เคยพลาด ชาตินี้ก็ดันมาพลาดอีก เป็นการพลาดซ้ำซาก กลายเป็นเหมือน คนเราเอาง่ายๆ คือ คนเราจะฉลาด ก็ฉลาดได้ง่ายๆ จะโง่ก็โง่ด้วยเรื่องที่ง่ายๆ ได้เช่นกัน  ดังนั้นตีโจทย์กันไม่ออกเท่านั้นเอง

ถึงจะเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดีย ก็หนีเจ้ากรรมนายเวรไม่พ้น

คนเราเนี่ย บางทีมันอยู่ในช่วงที่ว่าเราหลอกตัวเอง คนบางคนทำความชั่วเยอะมากๆ เข้าข้างตัวเองว่า สิ่งที่ฉันทำมันเป็นสิ่งที่ดี เพราะอะไร  เพราะว่าคนพวกนี้ไม่เชื่อว่า ชาติหน้ามีจริง เชื่อว่าฉันจบในชาตินี้ ฉันกอบโกยได้ชาตินี้ ฉันเอาชาตินี้ให้จบ นั่นคือเขาประมาทในชีวิต จริงๆ จิตคนเรามันเกิดภพแล้วภพเล่านะครับ มันเกิดๆ ดับๆ คนบางคนในชาตินี้อาจจะเป็นขอทาน แต่เราไปดูถูกเขาไม่ได้ เพราะชาติที่แล้วเขาอาจจะเป็นมหาเศรษฐีส่วนคนที่เป็นมหาเศรษฐีในชาตินี้ ชาติหน้าอาจจะเป็นขอทานก็ได้ ใครจะไปรู้ เพราฉะนั้นมันเวียนภพเวียนชาติมาก่อน บางทีคุณคุปต์อาจจะเป็นคนสูงส่งมาก่อนก็ได้ ใช่ไหม มันเวียนมาตั้งแต่กี่ภพชาติ เราลืมไปแล้ว

คราวนี้เราลืม แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า เราจะระลึกมันได้ยังไง ในเมื่อคนปกติเนี่ย ด้วยความที่ว่าจิตเราก็เจอแต่ภาวะเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามารกสมอง มันลืมค้นหาจิตเดิมของตัวเองนะครับ คือกายมันเป็นกายใหม่ อย่างเราเกิดมาอายุ 34 ปีเนี่ย เราอาจยังไม่รู้จักกายของเราทุกส่วนด้วยซ้ำ ขาเรา แขนเรา หัวเรา ยังแยกกันไม่ออก เราชินมันมาตั้งแต่เกิด เพราะมันประสานกันตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับ แต่คนที่ฝึกสมาธิมาจุดนึง เขาสามารถแยกจิตกับแยกกายออกจากกันได้ คราวนี้พอแยกออกได้ปุ๊บ เขาจะสามารถมองเห็นได้ว่า มันมีอะไร นอกเหนือจากกายนี้อีก มันมีเหตุนอกเหนือจากปัจจัยนี้อีก ที่ว่ามันเกิดความทุกข์นี่ มันมาจากจิตที่เคยทำไว้ในอดีต ผลที่เกิดทำให้มีความสุข มันก็มาจากสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตเช่นกัน

คือเราโทษคนพวกนั้นก็ไม่ได้ ทุกคนควรจะมีโอกาสเท่าเทียมกัน แต่ในชีวิตจริง ถ้าสมมุติทุกคนเท่าเทียมกันหมด ก็ต้องรู้เรื่องเดียวกันหมด มันก็เป็นเรื่องค่อนข้างยากเหมือนกันว่า ทำไมการรับรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน คนๆ นี้อาจจะรับรู้ได้เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ คนนี้อาจจะรับรู้ได้เพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่อีกคนนึงอาจจะรับรู้ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ว่าการรับรู้มาจากอะไร การรับรู้มันมาจากจิตเดิมนี่แหละครับ ในเมื่อจิตเป็นจิตดวงเดิม ชาติก่อนคุณเคยรับรู้มา 5 เปอร์เซ็นต์ ชาตินี้คุณมาเกิดใหม่ จากที่คุณเคยรับรู้มาแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ มันก็ขึ้นมาเป็น 6 เป็น 7 เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ว่า ชาตินี้คุณจะค้นหามันต่อไหม

รับฟังปัญหา พูดจาอย่างเข้าใจ

คือเวลาผมคุยในจำนวนคนจำนวนมากเนี่ย เราต้องคุยด้วยภาษาที่ง่ายๆ ไม่มีการยกคำเหมือนกับที่เป็นพระสงฆ์ที่เป็นคำยากๆ บาลี สันสกฤตไม่มี คนที่มาฟังเนี่ย เขาไม่อยากจะมารู้ว่าบาลีสันสกฤตเป็นยังไง คนที่มาฟังเนี่ย คนที่รู้จักผมนะครับ ส่วนมากจะเป็นคนที่ทุกข์ ส่วนคนที่มีความสุขจะไม่รู้จักนะครับ แต่เมื่อไหร่ที่คนเหล่านั้นมีความทุกข์ ชื่อของริชชี่จะเด้งขึ้นมา หรือหนังสือที่ผมเคยแจกไปเนี่ย หนังสือเนี่ยเป็นสิ่งที่แปลกเหมือนกัน บางคนเคยได้โดยที่ยังไม่ได้สนใจนะครับ

ภาพวาดองค์นารายณ์ในหนังสือ Super Richy

เป็นภาพองค์นารายณ์ ใช่ครับ แต่ไม่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ สาเหตุที่ไม่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าคนวาดไม่เห็น คนเห็นวาดไม่เป็น จะใกล้เคียงแค่ประมาณ 90 เปอร์เซนต์ ซึ่งในเนื้อหามีบทสัมภาษณ์ของผมที่เคยสัมภาษณ์ลงในนิตยสารเล่มนึง ก็จะเอาประโยคที่สำคัญมาลงอยู่ในเนื้อหาที่ผมจัดทำหนังสือด้วยครับ

การเชิญร่วมทำบุญในแบบริชชี่

เรื่องผมพูดบรรยายมันจะเป็นโปรเจ็คต์ๆ ไปครับ ถ้าสมมุติช่วงนี้ผมไม่มีบรรยาย ผมก็จะไม่เปิดกล่องเชิญทำบุญอะไรเลย เพราะว่าเหมือนกับว่า ถ้าเราเปิดแล้วเนี่ย เงินเขามารอเรา แล้วเรายังไม่จบโปรเจ็คต์ ความรู้สึกเราก็เหมือนกับ เมื่อไหร่เราจะจบโปรเจ็คต์นี้ ช่วงที่บรรยายตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ มันจะมีการสร้างหลายอย่างมาก มีทั้งถาวรวัตถุในศาสนาพุทธ มีการสร้างโบสถ์และวิหาร สร้างเจดีย์ มีการซื้ออุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาล ส่วนมากผมจะเน้นทำโรงพยาบาล กับทำให้ศาสนาพุทธนะครับ คราวนี้มันจะมีช่วงที่แบบว่า เรารู้งบสิ่งที่เราจะทำให้กับโรงพยาบาลนี้เป็นจำนวนกี่บาท แล้วเราก็ต้องวัดความสามารถของเราว่า แล้วเมื่อไหร่เราจะถึงยอดที่เราตั้งไว้

เอาง่ายๆ เหมือนผมเห็นตอนที่พี่ตูน (ตูน บอดี้สแลม) วิ่งเนี่ย คือมีความรู้สึกว่าเขาทำได้สำเร็จนะ เพราะว่ากระแสมวลชนทำให้เขาได้ แต่เขาต้องอุทิศตัวเองเหมือนกัน ต้องใช้ตัวเองในการวิ่ง คราวนี้ของผม ผมจะไปวิ่งก็ไม่ไหว เราก็ต้องใช้สิ่งที่เรามี ใช้ความสามารถของเราในการเผยแพร่คำสอนออกไป คราวนี้ในการเผยแพร่คำสอนออกไป คนอยากจะมาทำบุญกับเรา เนื่องด้วยจากว่าเราไม่รับเงินเขา หนึ่งคือ ถ้าเรารับเงินเขามาก็ต้องเป็นภาระเราแล้ว แล้วจะเอาเงินไปทำอะไรต่อ เพราะฉะนั้นในกรณีที่ไม่มีโปรเจ็คต์อะไรเลย ผมจะปิด แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามผมคิดว่าโปรเจ็คต์นี้สมควรแล้วที่ทุกคนควรจะต้องทำ ก็จะเริ่มตั้งกล่องรับบริจาคหน้าห้องบรรยาย แล้วคนทำบุญครั้งนี้เสร็จปุ๊บ ผมก็จะประกาศในห้องบรรยายที่จังหวัดนี้ได้ยอดหมื่นบาท ที่จังหวัดนี้ได้ยอดสองหมื่นบาท แล้วรวมๆ กันจนมันครบกับยอดที่เราตั้งไว้แล้ว ก็มอบให้กับสถานที่นั้นไปเลย

ถ่ายทอดความรู้จากเทพให้ทุกคนได้ฟัง

จะสรุปง่ายๆ เลยละกันว่า คนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากเราเนี่ย จะเป็นยังไง อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า ตอนเขามาเขาทุกข์ เราได้ช่วยเบื้องต้นไป เขาอาจผ่อนคลายไปได้ส่วนหนึ่ง แต่วิธีการของผมเนี่ย ผมจะไม่ใช่เป็นคนลงไปช่วยด้วยตัวเองนะครับ เราบรรยายเนี่ย เราเอาสิ่งที่เรียนรู้จากองค์นารายณ์มาถ่ายทอดให้ทุกคนฟัง จะให้องค์นารายณ์มาคุยกับคนๆ นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะคนจิตบริสุทธิ์ไม่เท่าท่าน มันเหมือนสื่อกันไม่ติดเพราะอะไร เพราะจิตคนมันไม่บริสุทธิ์เท่าท่าน

มนุษย์กับการสื่อถึงองค์นารายณ์มหาเทพ

ก็อยู่ที่ว่าจิตเราถึงท่านไหมครับ เปรียบเทียบง่ายๆเหมือนกับว่า สถานีส่งขึ้นไปถึงสถานีรับหรือเปล่า สมมุติคุณคุปต์นั่งอยู่ ททบ.5 กล้องถ่ายเรา แต่อยู่ดีๆ รูปเราไปโผล่ทีวีที่อื่น ระหว่างทางตัวเราเห็นไหมว่าตัวเรามันไปโผล่อยู่ที่ทีวีได้อย่างไร ถ้าเกิดสัญญาณรับไม่ได้มันก็จะเป็นเส้นๆในจอทีวี จริงๆ มันคือวิทยาศาสตร์ครับ เพียงแต่ว่าคนมักจะตีกรอบว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ แต่ถ้าเขาเข้าถึงเรื่องของจิตได้ เขาจะมองเห็นเลย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงพบเรื่องของจิต ที่ท่านไปนั่งตรัสรู้เองด้วยเรื่องของจิต ท่านค้นพบจิตเดิมของท่าน พอท่านค้นพบปุ๊บ มันมีหลายเรื่องมากที่ท่านตรัสรู้ แต่ท่านเลือกเรื่องที่ว่า เอาแค่นี้มอบให้คนรุ่นหลังว่า ฉันไปเจอเรื่องมาทั้งหมดนะ คุณเอาแค่เรื่องใบไม้ในกำมือเดียว แล้วคุณไปใช้แก้ปัญหาด้วยตัวคุณเอง

แชร์ไปเรื่อยบนโลกโซเชียล ระวังติดกรรม

เอาง่ายๆ ลองเทียบดูรุ่นคนที่อายุมากกว่าเรา คุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ ยุคนั้นเป็นยุคที่ศีลธรรมยังดี ไม่เสื่อม แต่ยุคนี้สังเกตดู ความมาเร็วของดิจิตอล เราจะทำเรื่องดีเกิดขึ้นเร็วก็เร็วได้ เรื่องชั่วเกิดขึ้นได้ในพริบตาก็ทำได้ทันที เพราะทุกคนมีมือถือกันหมด เดี๋ยวนี้มือถือมันมีกล้องอะไรนิดหน่อยก็ถ่ายได้หมด และหารู้ไม่ว่าสิ่งที่คุณแชร์นั้นมันเป็นวิบากกรรมติดตัวนะ เราอย่ามองว่ายุค 4.0 นี้อะไรนะ เพราะมันเป็นยุคทางโลกมนุษย์ แต่เรื่องของกรรมมันอยู่ทุกเวลา คนเราเกิดมาใช้กรรมไงครับ อย่างที่เราไปเผยแพร่โดยที่เขาไม่ยินยอมนั่นก็คือการเบียดเบียน

และมีคนมาแก้ข่าวว่าต้องชัวร์ก่อนจะแชร์นะ มันก็มีไลน์ที่บางคนบอก กินน้ำนั้นนะแล้วร่างกายจะดี พอคนไปทำตามไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า กินแล้วตายก็มี เป็นบาป แล้วบาปพวกนี้เราก็นึกไม่ออกว่ากี่คนที่แชร์ เอากากบาทก็คูณไปสิ ตามคนที่แชร์ไปแล้วกี่คน คุณก็ได้รับวิบากกรรมตามนั้น เพราะฉะนั้นคืออย่างกระทู้เวลาคนพิมพ์ด่าคนนั้นคนนี้ เอาจริงคุณไม่รู้จักเขาหรอกแต่คุณพิมพ์ด่า แล้วที่คุณด่าเขามีบารมีมากกว่าคุณล่ะ มันจะหนักไหม อันนี้คือเปรียบเทียบเหมือนเขาอยู่บนยอดตึก แล้วคุณถ่มน้ำลายใส่เขามันก็ตกใส่คุณเอง อันนี้คือคนทั่วไปไม่รู้ไงครับ มันเป็นยุคที่อะไรก็ง่าย แต่ศีลธรรมมันเสื่อม

กงเกวียนกำเกวียนมีจริง

จริงๆ เรื่องพวกนี้มันเป็นการผูกกรรมอย่างไม่จบไม่สิ้นนะครับ เด็กที่เกิดมาแล้วโดนทำแท้งเนี่ยมันก็มีเหตุอยู่ล่ะ เขาไม่ได้เกิดมาชาตินี้ชาติแรกแล้วโดนทำแท้ง เขาอาจจะเคยไปทำผิดศีลข้อหนึ่งคือ ไปฆ่าสิ่งมีชีวิตไม่ให้เกิดในชาติก่อนนั้น แล้ววนกลับมาเขาก็ต้องมารับกรรม แทนที่คุณจะได้เกิดคุณก็ไม่ได้เกิด เขาทำกันมาก่อน ไม่ใช่ว่าโผล่มาชาตินี้ เพียงแต่ว่า ตัวละครหรือบทบาทเนี่ย เหมือนกับผู้กำกับจะเลือกเองว่า เมื่อก่อนคุณเล่นเป็นบทตัวร้ายนะ ชาตินี้มันก็สลับกันไปมา นึกภาพให้ออกนะ เหมือนกับคู่กรรมในประเทศไทย สร้างออกมากี่เวอร์ชั่น พล็อตเรื่องคล้ายๆ กัน เรารู้ว่ายุคพี่เบิร์ดเล่นกับพี่กวาง ตอนท้ายพระเอกโดนระเบิดตาย เปลี่ยนมาอีกค่ายนึง ท้ายสุดโกโบริก็ตาย เรารู้พล็อตเรื่องกันมาแล้ว แต่มาเปลี่ยนตัวแสดงเท่านั้นเอง

ปลดล็อคเจ้ากรรมนายเวรด้วยสมาธิ

มันคิดได้อย่างนี้นะครับ เรื่องกรรมเป็นเรื่องซับซ้อนนะครับ แต่ถามว่าไม่ซับซ้อนก็ได้ ถ้าเราแยกมันออก คำว่าซับซ้อนคืออะไร มันซับและมันซ้อนกัน แยกกันไม่ออกมันก็เลยซับซ้อน แต่ถ้าคนเข้าใจเรื่องกรรม มันก็จะค่อยๆ หยิบออกทีละเรื่อง เอาเรื่องนี้ออกก่อนนะ แล้วก็มอง อ๋อ เรื่องนี้มันเกิดจากเรื่องอะไร คือคุณใช้ผล และคุณไปหาเหตุ พอคุณเคลียร์เรื่องนี้จบคุณก็ทิ้งไป คุณค่อยๆ สานปัญหาชีวิตของคุณเอง นี่คือถ้าคนมองออก คนมองออกจะแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยตัวคุณเองได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ถ้าคุณมองออก แต่ในคนสังคมปัจจุบัน คนมองกันไม่ออก แล้วคนชอบสำเร็จรูป ได้ยินว่าที่นี่สามารถสะเดาะเคราะห์แก้กรรมไปเลย ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ มันไม่หลุด นั่นมันเป็นเพียงพิธีกรรม คุณจะหลุด คุณต้องแก้ที่จิตคุณให้ได้ก่อน เพราะจิตคุณผูกไว้

 

5 ม.ค. 2562 : ฌอน บูรณะหิรัญ เชิญ “Super Richy” มาพูดคุยเรื่องการทำสมาธิ

 

ส่วนกรรมหนักเนี่ย เอาง่ายๆ แก้ที่จิตให้ได้ก่อนครับ ทุกอย่างเกิดจากจิต เป็นมโนกรรม ก่อนที่จะออกจากปากเป็นวจีกรรม ให้เป็นกายกรรมเปียงยาง กวางเจา หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็มาจากจิต จิตมันสั่งจากสมอง สมองมันออกปาก สมองมันสั่งกาย กระบวนการกำหนดการทั้งหมด มาจากจิตทั้งนั้น ถ้าคุณรู้ที่มาว่ามาจากไหน คุณไปแก้ที่ต้นเหตุ คุณจบที่นั่น กรรมเกิดจากจิต ก็เข้าไปแก้ที่จิต

และการจะหลุดจากกรรม มันบอกไม่ได้ครับ มันอยู่ที่ยอดหนี้ ยอดหนี้คุณมีเท่าไหร่ เราไม่ใช่เป็นผู้ตอบได้นะครับ คนตอบได้คือเจ้าหนี้ของเรา เปรียบเทียบได้กับเราไปกู้สินเชื่อกับธนาคารสักธนาคารนึง ก่อนที่จะกู้คุณต้องรู้เงื่อนไขธนาคารว่าคุณต้องผ่อนเขาเท่าไหร่ พอเรากู้มาปุ๊บ เราดันลืมเงื่อนไข เจ้ากรรมนายเวรก็มาทวง ว่าเธอเคยทำสัญญากับฉันมานี่ ทำไมเธอลืมล่ะ ฉันก็มาทวงสักหน่อยนึง ทวงให้เกิดความทุกข์ มันยังรู้สึกไหม มันยังไม่รู้สึก ทำให้มันทุกข์หนักขึ้นอีก มันไม่รู้อีก ทำยังไง ทวงมันไปเรื่อยๆ จนคนมันรู้สึก ทำไมวิบากกรรมทำให้ฉันย่ำแย่ ก็ต้องไปหาผู้รู้ล่ะ แต่การไปหาผู้รู้ก็มีทั้งผิดมีทั้งถูก สมมุติว่าเราเข้าใจเรื่องกรรม เราก็ไม่ต้องไปหาผู้รู้ ผู้รู้คือเราสร้างเอง ต้องแก้เอง คุณกลับไปหาสัญญาที่เคยสร้าง คุณเคยร่างสัญญานั้นมาใช่ไหม แล้วก็มาเคลียร์กับคู่กรณีคุณว่าสัญญานี้ตรงกันไหม ถ้าสัญญาตรงกัน เราฉีกสัญญาทิ้งไหม

อย่างน้อยเรายังทำให้เขาเห็นว่า เรายังมีจิตที่ดี เอาง่ายๆ นึกซะว่าคุณคุปต์เป็นเจ้าหนี้ของใครสักคนหนึ่ง เราเป็นเจ้าหนี้ของคนที่ชาตินี้ก็เลวดักดานเลย เรารู้สึกว่าทำไมมันชั่วขนาดนี้ ในขณะเดียวกัน คุณคุปต์เป็นเจ้าหนี้ของคนที่ดีมาก จิตมันก็ต้องรู้สึกว่า เฮ้ย ฉันสงสารคนๆ นี้นะ ฉันต้องทวงเขาเพราะอะไร มันเป็นบทบาทหน้าที่ของฉัน เขาทำฉันมาชาติก่อน คนบางคนชาตินี้เป็นคนดีมากๆ เลยนะครับ ชาติก่อนเขาอาจจะเป็นคนเลวสุดๆ ก็ได้ เจ้ากรรมนายเวร เขามอง เขาไม่ได้มองชาตินี้ ฉันไม่ได้อยากทวงคุณหรอกนะ สิ่งที่ฉันทำ เพราะคุณเคยทำกับฉันไว้ ชาติก่อนคุณเลวนี่

เรื่องการให้อภัยทาน ถ้าคุณทำได้คุณก็หลุดกันง่ายๆ แต่คนส่วนมากอโหสิกรรมกันไม่เป็นอีก มันเลยเป็นเหตุให้ว่าต้องบรรยายยังไงให้คนเข้าใจ อโหสิกรรมไม่เป็นมันเป็นยังไง คนมักจะนึกว่า อโหสิกรรมต้องมีธูปแพเทียนแพ แต่บางทีนั่นคือพิธีกรรม จริงๆ จะหลุดมันอยู่ที่จิตว่า ตอนขอแล้วจิตข้างในคุณพร้อมจะปล่อยจริงไหม คุณขอโทษเขาจริงหรือเปล่า หรือขอแค่ผ่านๆ ไปเอง บางคนสังเกตดูเวลาไปบวช ไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ เอาธูปเทียนแพไปขออโหสิกรรมตามประเพณี แต่กรรมคุณไม่หลุดนะ เรื่องกรรมมันไม่หลุดกันง่ายๆ มันต้องเอาให้หลุดถึงจิตของดั้งเดิมที่มันผูกกันมา

กรรม กับ ภาวะโรคซึมเศร้า (เป็นกันอยู่หรือเปล่า?)

จริงๆ โรคซึมเศร้ามันเกี่ยวกับสภาวะจิต ทางการแพทย์เขาก็มองว่า อาจจะเป็นเกี่ยวกับสารในสมองมันหลั่งออกมา แต่ถ้าเราเอามาดูในเรื่องของกรรมเนี่ย คนที่จะมาเป็นโรคซึมเศร้าได้ คือการผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จิตคาดหวังอะไรไว้ แล้วพอไม่ได้ดั่งหวัง ไม่ได้ตามที่ตัวเองหวังก็รู้สึกหดหู่ พอผิดหวังครั้งที่สอง ครั้งที่สามอีก ยิ่งหดหู่ สังเกตดูคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเป็นคนที่ผิดหวังซ้ำซ้อน มันเลยเป็นชื่อที่มาของ ตีความหมายเลยนะครับ เศร้าอย่างเดียวไม่พอ มันซึม สังเกตดูซึมมันเป็นยังไง มันไม่ใช่รั่วนะครับ มันค่อยๆไหลออกมา มันค่อยๆ แผ่ออกมา พอมันซึมเศร้าไปเรื่อยๆ ปุ๊บ เคยชินกับความรู้สึก กลายเป็นว่าฉันเสพติดกับความทุกข์ แล้วก็หาทางออกไม่เจอ ยิ่งคนเป็นโรคซึมเศร้าสังเกตดู

ยิ่งทุกข์ข้างในเขายิ่งชอบนะครับ เขาไม่ได้อยากเป็นหรอก แต่เขามองไม่ออกว่า ยิ่งเป็นมันจะยิ่งเป็นเรื่อยๆ แต่คนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วอยากจะหลุดแล้วเนี่ย ง่ายนิดเดียว จิตคุณบอบช้ำมาแค่ไหน คุณก็พยายามฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาเป็นจิตดวงเดิม แต่คนส่วนมากเข้าไม่ถึงวิธีการฟื้นฟูจิตของตัวเอง บางคนตัดปัญหา ตัดช่องน้อยด้วยการฆ่าตัวตาย ทำยังไงดี ปรึกษาใครก็ไม่ได้ คิดว่าการฆ่าตัวตายคือการจบ แต่จริงๆ แล้ว พอตายปุ๊บ กรรมการฆ่าตัวตายอย่างที่เราๆ รู้ มันจะวนมานะครับ จิตสุดท้าย มีจิตวิตกยังไง จิตก็กลับมาทำอีก การฆ่าตัวตายเขาถึงมีการเปรียบเทียบ ทำครั้งนึงฆ่าตัวตายแบบเดิมไปอีก 500 ชาติ มันมีคำเปรียบเปรย แต่มันเกี่ยวของจิตที่ทำซ้ำๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ แล้วไม่หลุดออกมาจากวงเวียนนั้น

ได้เกิดเป็นคนทั้งทีเอาดีให้ได้

เราสามารถตอบได้อย่างนี้นะครับ หนึ่ง เราเกิดมาใช้กรรม เพราะคุณเคยสร้างกรรมมาก่อนก็เลยเกิดมาใช้กรรม กรรมคือคำกลางๆ อย่างนี้ กรรมดีซ้ายมือ กรรมชั่วขวามือ คุณเกิดมาใช้กรรม ถ้าคุณสร้างกรรมดีมา คุณก็เสวยสุข คุณได้ใช้กรรมดีของคุณต่อ สอง เกิดมาใช้กรรมทางด้านความทุกข์ เช่น เกิดมาพิการตั้งแต่เด็กเลย ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ พอตรวจดูปุ๊บ ถ้าเกิดออกมาเด็กคนนี้พิการนะ เขาก็ต้องยอมรับ คือ กรรมดึงให้เขามาเกิด คนเราเกิดมาใช้กรรม พระพุทธเจ้าท่านจะมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเกิดมาตั้งไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แต่ท่านสะสมบารมีมาแล้ว ท่านเห็นว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่ว่า ท่านจะลงมาในเมืองมนุษย์ ใช้กายสังขารมนุษย์แล้วตรัสรู้ แต่การมาเกิดของท่านเนี่ย ท่านไม่ได้เกิดมาเสียเปล่า ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ตัวเองแค่เกิดมา ท่านได้ออกไปค้นหาความจริงของสรรพสิ่ง เอาความรู้นี้ไปเผยแผ่ต่อเท่าที่คนที่ท่านสามารถช่วยได้ แล้วพอท่านปรินิพพานไปแล้ว ยังไม่พอ ยังทิ้งคำสอนไว้มานาน 2,500 กว่าปี จนมาถึงทุกวันนี้

แต่คำสอนบางคำสอนยังมีผิดเพี้ยนไปแล้ว เอาง่ายๆ คือ เรื่องของคำพูด หรือเรื่องของการบันทึก มันมีการผิดเพี้ยนกันแน่นอน คนหนึ่งวันนี้พูดอีกอย่างหนึ่ง อีกคนฟังเสร็จไปพูดต่อเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นคือบางทีเนี่ย ตำรายึดถือได้ไหม เราก็ไม่รู้หรอกว่าตำรานั้นมันจริงหรือเปล่า ประสบการณ์ยึดได้ไหม ก็ไม่รู้อีกว่าประสบการณ์คนนั้นถูกหรือเปล่า อย่าเชื่อว่าเขาเป็นอาจารย์ของคุณ อย่าเชื่อเพราะว่ามีหลักการ พระพุทธเจ้าท่านคงเตือนมาแล้วล่ะ การเชื่อมีกี่ข้อ การควรเชื่อมี 10 ข้อ นั่นแหละท่านก็เตือนไว้ว่ามันจะมีการผิดเพี้ยน เตือนแล้ว และอยู่ที่ว่าเราจะตีโจทย์ออกไหม เราเข้าใจไหมว่าท่านเตือนอะไรไว้ คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้นี่ ว่าท่านเกิดมาชาตินี้ชาติสุดท้ายแล้ว แต่ชาติสุดท้ายของท่านจะไม่เสียเปล่า ท่านลงมากลับไปให้สว่างกว่าเดิม สว่างไม่พอ สว่างเผยแผ่คนอื่นอีก

คุณเคยได้ยินไหมคำว่า มันจะมีสว่าง 4 คำนะครับ มามืดไปมืด เคยได้ยินไหมครับ ฟังดูแล้วมามืดไปมืด ฟังดูแย่ไหม ตอนคุณมาคุณยังมืด ตอนคุณไป คุณยังมืดอีก อันที่สอง ตอนคุณมาคุณมืด ตอนกลับไปคุณสว่าง อันนี้ดีไหมครับ เหมือนกลับว่าคุณมีโอกาสได้แก้ตัวนะครับ ทุกคนมีโอกาสแก้ตัวหมด คุณมามืด แต่ระหว่างที่คุณมาเกิดแล้ว คุณไม่ทำให้แย่กว่าตอนมา กลับทำให้พัฒนาแก่ตัวเอง ทำให้คุณกลับสว่างได้ อันที่สาม มาสว่างไปมืด มาแบบดีๆ เลย แต่มาหลงระเริงในโลกมนุษย์แล้วเผลอสร้างกรรม ขากลับคุณก็กลับขึ้นไม่ได้แล้วครับ เพราะว่าตัวถ่วงคุณเยอะ คุณก็ไปมืด ลงอบายภูมิไป และอันสุดท้าย คุณมาสว่าง ขากลับก็สว่าง แสดงว่าคนกลุ่มสุดท้ายรู้ว่า ฉันมาจากที่ดีนะ แล้วจะกลับ ฉันต้องกลับให้สูงกว่าที่มา นี่แหละครับสี่อย่าง

ชีวิตไม่ดี อย่าโทษเทพ โทษพรหม

ชีวิตไม่ดี โทษเทพ โทษพรหมทำไม ถ้าคำพูดแรงๆ เป็นคนค่อนข้างโง่เลยละกัน คือมนุษย์ถือว่าได้เปรียบสัตว์เดรัจฉาน เรามีสมองมากกว่าเขา สามารถพัฒนาสิ่งที่ดีก็ได้ สมองของคนๆ หนึ่งยังสามารถพัฒนาอาวุธสงครามทำร้ายคนนับล้านคนก็ยังได้ สมองของคนหนึ่งคนสามารถทำสิ่งที่ดีช่วยคนเป็นล้านคนก็ได้เช่นกัน ดังนั้นคนที่โทษเทพ โทษพรหมเนี่ย บางทีเขาสื่อกลับคืนมาได้ เขาคงพูดว่าทำไมโง่อย่างนี้ เขาไม่เกี่ยวข้องเลยนะ ไอ้สิ่งที่คุณประสบอยู่มันเป็นสิ่งที่คุณทำเองต่างหาก คุณมาโทษฉันได้อย่างไร อันนี้คือมนุษย์ตาบอดนะครับ มันเป็นเรื่องของกรรมนั่นแหละ ที่คุณทำมาในชาติก่อน คุณจึงได้เจออย่างนี้ คุณดันไม่พอใจ

แต่ถ้าคุณลองมองย้อนกลับไปให้ได้สิ คุณต้องนึกให้ออกให้ได้ คุณยอมรับแล้วว่า คุณจะเกิดมาคุณต้องเจอแบบนี้ คุณถึงได้ขึ้นมาเกิดไง คราวนี้พอคนเราไม่โทษคนอื่นแล้วโทษตัวเองมันจะเปลี่ยนความคิดนะครับ ถ้าโทษคนอื่นตัวเองถูกคือมันไม่ใช่ มันก็จะกลายเป็นว่า ฉันถูกแต่คนอื่นผิดตลอด ลองมาโทษตัวเองดูสิแล้วจะรู้ว่า สิ่งที่ฉันเป็น เพราะฉันทำตัวเองแท้ๆ แล้วฉันก็ต้องยอมรับมัน การยอมรับมันมีการยอมรับแบบ แล้วจะทำยังไงให้สิ่งที่ฉันเผชิญอยู่มันหมดเร็วขึ้น นั่นคือการอโหสิกรรม คือการต่อรองกัน คุณหาเจ้าหนี้ของคุณได้เจอเมื่อไหร่ คุณคุยกับเขาได้เมื่อไหร่ กรรมคุณหยุดเมื่อนั้น

รู้ทันจิต ชีวิตเป็นสุข

ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่จิตครับ อยู่ที่จิตล้วนๆ เลย คนเราเกิดมามันมีกายและมีจิต กายคือภาชนะที่ใส่จิตของเรา สังเกตดูเวลาคนเราทุกข์เนี่ย ทุกข์กายกับทุกข์ใจอันไหนหนักกว่ากันครับ และกายกับจิตอะไรสั่งกันได้ครับ จิตสั่งกายหรือกายสั่งจิต ต้องเป็นจิตสั่งกาย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหมดมาจากจิตสั่งกาย ไม่ใช่กายสั่งจิต จิตสว่างต่อให้คุณป่วยเป็นมะเร็งอยู่ คุณก็อยู่ได้นานมันอยู่ที่จิต อันนั้นคือกายที่แยกออกได้นะครับ คนเราทุกข์กันที่ใจเพราะอะไร ทุกข์เพราะว่าไม่ได้สิ่งที่ตัวเองคาดหวัง ทุกข์เพราะว่าอยากจะได้แต่มันไม่มา แต่คนเราสุขเพราะอะไร สุขเพราะได้ในสิ่งที่ตัวเองสมหวัง แต่สังเกตดู คนเราไม่มีใครเกิดมาแล้วมีความสุข 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครเกิดมาทุกข์ 100 เปอร์เซ็นต์ มันจะสลับสับเปลี่ยนกันมาตามหน้าที่

ภารกิจ , ธรรมะ และ การบวช ของริชชี่

จริงๆ เคยมีนะครับครูบาหลายๆ ท่าน คือช่วงที่เราบรรยาย เราจะได้มีโอกาสเจอเกจิอาจารย์ที่ท่านปฎิบัติได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเกจิอาจารย์ยุคเชิงพาณิชย์นะครับ เป็นเกจิอารย์ที่อายุ 90 ขึ้นนะครับ มันจะมีเหตุให้เราได้ไปเจอ แล้วก็ตอนนั้นผมมีโอกาสได้บวชกับ ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ที่เชียงใหม่ ท่านเจอผมตอนนั้นท่านอายุ 94 ตอนนั้นผมยังเรียนไม่จบ เจอหน้าท่านครั้งแรก ท่านบอกว่าบวชไหม ตอนนั้นท่านคงเห็นอะไรข้างในตัวเรา จึงอยากจะบวชให้เรา

ตอนนั้นผมบอกท่านว่าผมยังบวชไม่ได้ เพราะผมยังเรียนไม่จบ จนเราเดินทางบรรยายเรื่อยๆ จนมีเหตุที่ว่า โอเค เราจะบวชละ ครูบาดวงดีรอผม 10 ปีนะครับ ท่านได้บวชให้ผม ตอนอายุท่านประมาณ 103 ปี และท่านละสังขารตอนอายุ 104 ปี นั่นแหละก็เป็นเหตุที่ว่าเราไปบวช เพราะว่าหนึ่งเราเคยทำตามสัญญาที่ท่านเคยขอไว้ด้วยว่า บวชไหม คราวนี้ถามว่าในอนาคตจะบวชไหม มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมอยู่อย่างนี้มันง่ายกว่าการเป็นพระ การเป็นพระจะมีข้อห้ามค่อนข้างเยอะ สมมุติผมบวชเป็นพระ ผมจะมาพูดเรื่องนี้ กลายเป็นผมอ้างอวดอุตริมนุษยธรรม หรือถ้าผมเป็นพระแล้วผมจะช่วยคน ในการเดินทาง ในการไปบรรยายต่างๆ แล้วผมก็ต้องมากังวลกับสบงจีวรใช่ไหมครับ ผมไปอย่างนี้ง่ายกว่า

แล้วผมก็คิดว่าจริงๆ แล้ว คนเราอาจจะไม่ต้องบวชตลอดชีวิต คนเรารู้ว่าที่มาที่ไปของเราเป็นยังไง แล้วจิตข้างในของเราอยู่สภาวะไหน น่าจะทำได้เหมือนกัน บางทีผมมองว่าการบวช คนส่วนมากจะมองว่าอยู่ในผ้าเหลือง อันนั้นคือยูนิฟอร์มครับ คนบางคนถ้าตีความหมายคือ พระคือผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐไม่จำเป็นต้องนุ่งเหลือง ผู้ประเสริฐจะนุ่งอะไรก็ได้ขอให้ดูที่ใจ” ”

มาถึงตรงนี้ เราคงได้รู้จักกับริชชี่กันมากขึ้นบ้างแล้ว ส่วนตัวของคุปต์ผู้สัมภาษณ์เอง ก็ได้มุมมองดีๆ ในหลายด้านเช่นกัน ซึ่งไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย คนเราถ้าเจอปัญหาอะไรมากมายก็ตาม ควรจะต้องกลับมามองที่ตัวเองว่าทุกข์เกิดจากอะไร สุขเกิดจากอะไร แล้วก็หาทางแก้ไขให้ตรงจุด ซึ่งการนั่งสมาธิถือเป็นหนทางที่ทำให้จิตเราสงบ ครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านก็กล่าวกันว่า ผลบุญที่เกิดจากการทำสมาธินั้นแก้กรรมได้จริง ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการติดต่อเข้าไปขออโหสิกรรมเหมือนอย่างที่ริชชี่พูดถึง

เราอาจจะไม่สามารถมองเห็นอดีต อนาคต และเรื่องกรรม เหมือนอย่างริชชี่เห็น หรือสามารถสื่อสารกับองค์นารายณ์ ที่ถือว่าท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ได้ทราบจากริชชี่ก็คือ คนเราเป็นผู้ที่กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะมาจากที่มืดหรือที่สว่าง วันนี้คุณก็สามารถทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองได้ และยังสามารถเผยแผ่ให้กับคนรอบข้างได้อีกด้วย และนี่คือเรื่องราวดีๆ ที่ชาวเกือกม้าดอทคอมได้มีโอกาสพูดคุยกับริชชี่ในครั้งนี้ครับ.