เดินสายร้องเรียนรักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม ยื่นหนังสือตั้งแต่เจ้าคณะตำบลขึ้นไปถึงเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะจังหวัด  และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดลำปาง  ให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม  กล่าวหาศรัทธาโกงเงินวัด เป็นแม่เล้า ใช้วาจาหยาบคาย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ด้านพระครูติ่ง รักษาการเจ้าอาวาสยอมรับพูดจริง จึงอยากฝากขอโทษที่ทำให้เสียหาย

เมื่อวันที่ 24 ก.ค.60 นายยุทธการ บุรพเกียรติ์ อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 133/4 ถ.ท่าคราวน้อย ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง  พร้อมครอบครัว  และชาวบ้านจำนวนหนึ่ง  ได้นำเอกสารพร้อมนำรายชื่อกลุ่มชาวบ้านกว่า 80 ราย เข้าร้องเรียนต่อเจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอ  เจ้าคณะตำบลสบตุ๋ย และสำนักงานพระพุทธสาสนา จ.ลำปาง ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระครูไกรสรวิลาส หรือ พระครูติ่ง  อายุ 23 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม ต.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง ที่กล่าวหาครอบครัวของตนเองไปในทางเสียหาย โดยไม่เป็นความจริงและไม่มีแม้กระทั่งพยานและหลักฐาน

ทั้งนี้ นายยุทธการ ได้เล่าว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2559 ทางรักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม  พร้อมคณะศรัทธาได้จัดพิธีหล่อพระพุทธรูปหลวงพ่อโตทันใจ หน้าตัดกว้าง 6 เมตร สูง 9 เมตร ให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว แต่หลังจากที่ถอดบล๊อคออกแล้ว ก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ เนื่องจากขาดเจ้าภาพและขาดปัจจัยในการดำเนินงานต่อ   จึงได้ทิ้งร้างเอาไว้จนปูนติดแข็งผิวไม่เรียบ  จนได้มีญาติโยมมาบอกบุญ จึงได้เข้าไปรับเป็นเจ้าภาพดำเนินการสร้างต่อจนแล้วเสร็จ โดยใช้งบประมาณของตัวเองรวมกับเงินของกลุ่มผู้มีจิตศรัทธาในบางส่วน ซึ่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรมก็ยินดี

ตนและครอบครัวจึงได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่จ้างช่างมาขัดผิวพระพุทธรูปที่ขรุขระ รองพื้นปูน และทาสีขาวทั้งองค์ เริ่มทำตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึงเดือน พ.ค. 60 รวมระยะเวลา 5เดือน  จึงแล้วเสร็จ  ด้วยงบประมาณทั้งสิ้น 150,000 บาท ซึ่งทางตนและครอบครัวเป็นผู้ควบคุมการทำองค์พระพุทธรูปทุกขั้นตอน

จากนั้นทางพระครูไกรสรวิลาส รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม  เห็นควรว่าจะต้องมีฉัตร  ขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดโมลีขององค์พระเจ้าโตทันใจ  แต่ยังไม่มีเจ้าภาพ  ตนจึงได้ขอรับเป็นเจ้าภาพ   ซึ่งใช้งบประมาณในการทำฉัตรหลวง 9 ชั้น จำนวน 120,000 บาท  และได้จ้างช่างจากจังหวัดลำพูนมาทำ  จนแล้วเสร็จตามที่กำหนดและมีการชำระเงินเรียบร้อยต่อหน้าพระครูไกรสรวิลาส รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม  จากนั้นมีกรรมการวัดและผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันจัดขบวนแห่ฉัตรไปตามรอบเมืองลำปาง  เพื่อให้สาธุชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมทำบุญ  หลังจากที่ได้ไปแห่ฉัตรเป็นระยะเวลา 3 วัน และได้ตรวจนับปัจจัย  ซึ่งเป็นจำนวนเงินทั้งหมด  110,000 บาท  ทางเจ้าภาพได้ยกเงินให้กับทางวัดทั้งหมด  พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ของทางธนาคารมารับเงินเอาไปเข้าบัญชีวัดฯ  ซึ่งทุกขั้นตอนก็กระทำต่อหน้าต่อหน้าไวยาวัจกร และคณะกรรมการวัดเพื่อความโปร่งใส มีหลักฐานสามารถตรวจสอบได้ในบัญชีเงินวัด และมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารที่มาเก็บเงินเข้าบัญชี

หลังจากนั้น  ในก่อนหน้าจะมีงานพิธียกฉัตรหลวง 9 ชั้น  ขึ้นประดิษฐานเหนือพระโมลี ทางตนและครอบครัวก็ยังได้ถวายเงินให้กับพระครูไกรสรวิลาส  รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม อีกจำนวน 24,000 บาท เพื่อให้นำไปบูชาพระพุทธรูป องค์สีขาว  ขนาดหน้าตักกว้าง 5 นิ้ว จำนวน 200 องค์ ในราคาองค์ละ 120 บาท เพื่อที่จะนำมาให้สาธุชนเช่าบูชาต่อในราคาองค์ละ 399 บาท และอีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปมอบเป็นของที่ระลึกกับแขกผู้ใหญ่ที่จะมาร่วมงานในวันพิธียกยอดฉัตร ในวันที่ 11 มิ.ย.60 ส่วนรายได้จากการให้เช่าบูชาพระพุทธรูป  ทางเจ้าภาพได้ยกเงินทั้งหมดให้กับทางวัดทั้งหมด  โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ

และในวันงานพิธียกยอดฉัตรฯ  ยังได้เชิญรองผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่ง พร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชนมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก จนทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

นายยุทธการ เจ้าภาพองค์พระและเจ้าภาพฉัตรหลวง 9 ชั้น  ยังเล่าต่ออีกว่า แต่หลังจากที่งานเสร็จเรียบร้อยไปเพียง 1 วันเท่านั้น ทางวัดดำรงธรรม โดยพระครูไกรสรวิลาส  รักษาการเจ้าอาวาส  กลับมากล่าวหาครอบครัวของตนลับหลัง  ท่ามกลางญาติโยมจำนวนมาก ว่าเป็นพวก 18 มงกุฎ  แอบขโมยเงินวัดและขโมยซองเงินที่คณะศรัทธามาร่วมทำบุญไป และยังกล่าวว่าที่ผ่านมาครอบครัวตนเองหลอกเอาเงินวัดอื่นมาอีกหลายแห่ง  รวมทั้งรักษาการเจ้าอาวาสยังใช้วาจาที่หยาบคายด่าว่าครอบครัวตนอย่างเสียๆหายๆ และขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ และรุนแรงขึ้น  จนเลยเถิดไปถึงมารดาของตนเองที่ถูกกล่าวหาว่า เคยเป็นแม่เล้ามาก่อน  ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต ซึ่งคำพูดคำด่าที่หยาบคายทุกคำต่างก็มีญาติโยมได้ยินได้ฟัง จนสร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัวของตนเอง จนทำให้ครอบครัวของตนถูกดูถูก  เหยียดหยาบ เกลียดชัง จากผู้ที่ไม่รู้ความจริง  โดยที่ครอบครัวของตนเองไม่สามารถจะชี้แจงใดๆได้ เนื่องจากเป็นการกล่าวหากันลับหลัง  และทุกครั้งในขณะที่พระครูไกรสรวิลาศ  เจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม ได้กล่าวหา  ก็ไม่เคยมีหลักฐานใด ๆ มาแสดง  เพื่อชี้ความผิด

ซึ่งในเรื่องนี้ตนเองและครอบครัว  ได้รวบรวมพยานและหลักฐานเอาไว้ได้  ซึ่งมีทั้งคลิปเสียงของพระครูไกรสรวิลาส ในขณะที่กล่าวหาและด่าครอบครัวตน  ให้ร้ายมารดาตน ต่อหน้าญาติโยม

โดยใจความในคลิปเสียงเป็นภาษาเหนือ  แปลได้ใจความว่า…

พระครูไกรสรวิลาส : แล้วคนที่จะผิดใจกันจะเป็นยุวดี(ยุวดีคือคนที่เลี้ยงพระครูมา และได้ลาออกจากการเป็นไวยาวัจกรแล้ว และขณะนี้ถูกกล่าวหาว่าขโมยเงินวัดแล้วโดนไล่ออกวัดไป) วันหน้ายุวดีจะเสียใจที่มาคบกับครอบครัวกระผม  บอกก็แล้วตักเตือนก็แล้ว ถ้าไม่รักก็ไม่ตักเตือน

ศรัทธาที่นั่งฟัง : (พูดเสริม) แต่คน ๆ นี้(หมายถึงมารดาผมเจ้น้อย) ที่ทำฉัตรนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่เรื่อง

พระครูไกรสรวิลาส : ภรรยารองผู้การชื่อโยมหมวย ก็มาพูดที่นี่  พระก็ถามว่าทำไมไม่เข้ามาทำบุญ  โยมหมวยภรรยารองผู้การก็บอกกับพระว่า  ก็เพราะโยมหมวยเห็นคน ๆ นี้(หมายถึงมารดาผมเจ้น้อย)  เข้ามาวัดนนี้  เมื่อก่อนโยมคนนี้เขาเปลี่ยนชื่อใหม่  เขาเอาชื่อดารามาใส่  ชื่อดารากับนามสกุลดารา

ศรัทธาที่นั่งฟังอีกคนถามต่อ : ใครเป็นดารา?

พระครูไกรสรวิลาส : ก็ชื่อเจ้น้อย  ชื่อใหม่ นามสกุลใหม่  เป็นชื่อของดารา  นามสกุลของดารา   แต่ก่อนเจ้น้อยเป็นแม่เล้าเก่ามากก่อน  เขาสืบประวัติเขารู้กันหมด  เราไม่รู้เฉยๆ เราไม่พูดกันเฉยๆ คนที่เค้ารู้เค้าพูดไม่ออก

ศรัทธาที่นั่งฟัง : ถ้าพูดมันก็จะเสริมกันไปเป็นเรื่องใหญ่

ยังไม่เพียงเท่านี้  พระครูไกรสรวิลาส  ยังได้ส่งข้อความและรูปภาพผ่านทางไลน์ต่อๆกันไป  ให้ยังญาติโยมเข้าใจผิดว่า  ครอบครัวของตน  เป็น 18 มงกุฎ  และได้ส่งรูปมารดาของตน ให้ญาติโยมเข้าใจผิด  ว่าเป็น 18 มงกุฎ  และก็ได้มีหลักฐานในมือถือ  ซึ่งเป็นของญาติ โยมท่านหนึ่งที่ได้รับข้อความ

ทั้งนี้ทางตนและครอบครัวได้ให้โอกาสมาหลายครั้งแล้ว และขอให้หยุดกล่าวหา  แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ยังให้ร้ายครอบครัวตนเองอีกอย่างต่อเนื่อง จึงได้นำหลักฐานต่างๆพร้อมรายชื่อของกลุ่มศรัทธา เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรม  ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของรักษาการเจ้าอาวาสรูปดังกล่าว ว่าเหมาะสมควรจะเป็นรักษาการ หรือจะได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดต่อไปในอนาคตหรือไม่ ล่าสุดได้มีผู้ใหญ่ในจังหวัดลำปางขอให้สื่อหลายฉบับในจังหวัดไม่ให้ลงข่าวนี้ เพราะเกรงว่าวัดอาจจะเสื่อมเสีย ซึ่งตนมองว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการส่งเสริมพระให้กระทำผิด  แถมยังไม่มีการตรวจสอบและลงโทษทางวินัย  กลัวแต่วัดจะเสื่อมเสียชื่อเสียง  แต่ไม่นึกถึงผู้ถูกกระทำ  รวมทั้งเรื่องที่พระรูปหนึ่งที่มีอายุเพียงไม่กี่พรรษา แต่กลับได้เลื่อนขั้นเป็นถึงพระครูนั้นมีความเป็นมาอย่างไรด้วย  ซึ่งพระครูไกรสรวิลาส รักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม  ได้ตำแหน่งพระครูปลัด  ในขณะที่บวชเป็นพระได้ไม่ถึง 1 พรรษา  มีอายุเพียง 20  และหลังจากนั้นประมาณ 3 ปี ได้รับตำแหน่งพระครู

ทั้งนี้ตนและครอบครัวขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพยานและหลักฐานที่ได้นำมาในหนังสือร้องเรียน  และหากการตรวจสอบพบว่าพระครูไกรสรวิลาสได้กระทำผิดจริง  จะขอคัดค้านการเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัด  และคัดค้านการเป็นเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม  ในลำดับต่อไป   รวมถึงขอให้มีการตรวจสอบบัญชีเงินวัด  โดยเฉพาะเงินที่ได้จากงานบุญพิธียกยอดฉัตร  และเงินที่ได้จากการนำฉัตรไปแห่  และจะขอติดตามผลและบทลงโทษอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นในทิศทางใด

นายยุทธการ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า หลังจากนี้ก็จะได้คอยติดตามผลการตรวจสอบจากพระชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าที่ของสำนักพุทธอย่างใกล้ชิดว่าตนเองจะได้รับความเป็นธรรมมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เตรียมจะแจ้งความดำเนินคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย

ในเรื่องนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังรักษาการเจ้าอาวาสวัดดำรงธรรม  ได้กล่าวว่า ในเรื่องนี้อาตมาก็ยอมรับว่า เคยให้ร้ายโยมยุทธการและครอบครัวกับญาติโยมที่เข้ามาในวัดจริง แต่ทั้งนี้ก็เนื่องมากจากการที่ทั้งสองฝ่าย คือ พระกับโยมเข้าใจกันผิด เมื่ออาตมาผิด อาตมาก็ขอยอมรับ หลังจากที่เรื่องเกิดขึ้นทางโยมยุทธการ หรือโยมต้า ก็ได้นำเรื่องไปแจ้งให้กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่นับถือและเป็นหนึ่งในศรัทธาของวัดดำรงธรรมให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ย  ซึ่งหลังจากที่อาจารย์ท่านนั้นมาพูดคุยกับอาตมาให้ยุติเรื่อง  ก็ได้รับปาก  อาตมาก็ยุติเรื่องทั้งหมดทันที แต่ก็ไม่รู้ว่าใครไปสานหรือไปเสี้ยมต่อ และที่อาตมาหยุดก็เพราะรู้ว่าถ้าพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ส่วนการที่ไปว่าแม่ของโยมต้าเป็นแม่เล้า พูดจาหยาบคายนั้น อาตมาก็ยอมรับว่าผิดจริง แต่ไม่ได้พูดคนเดียวเพราะว่ามีคนมาพูดให้ฟังก่อน ซึ่งอาตมายอมรับว่าช่วงนั้นมีเรื่องเครียดอยู่หลายเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเครียดเรื่องอะไรบ้าง ผลที่สุดก็มาพบกับญาติโยมก็เลยพูดออกไป แต่ก็ไม่คิดว่าโยมของเราที่เราไว้วางใจนั้นจะไปพูดต่อ ทั้งที่อาตมากับแม่ของโยมต้าก็ไม่เคยบาดหมางในเรื่องใดๆมาก่อน คือเป็นญาติเป็นโยมกันตามปกติ

ส่วนเรื่องที่อาตมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระครูนั้น อันนี้ก็ต้องไปถามเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลท่านเอง แต่ไม่ว่าจะพรรษาน้อยหรือมาก ก็สามารถเป็นพระครูได้ทั้งนั้น มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ใด เพราะตำแหน่งพระครูนั้นมีอยู่หลายสิบขั้น ซึ่งก็อาจอยู่ที่ความพึงพอใจของพระผู้ใหญ่ก็เป็นได้ และหลังจากที่อาตมา มารักษาการที่วัดแห่งนี้ก็พยายามทำนุบำรุงพระศาสนามาตลอด ไม่เคยโกงกินเงินทุกบาท  มีคณะกรรมการตรวจนับ มีการนำเข้าธนาคารและให้ไปถามญาติโยมที่ไหนก็ได้ว่าอาตมาเคยนำเงินมาใช้หรือไม่ หรือไปถามพระผู้ใหญ่ดูว่านิสัยอาตมาเป็นเช่นไร เรื่องที่ครอบครัวโยมต้าโกงเงินวัดก็ไม่มีไม่เคยพูด  ส่วนที่มีข่าวว่าอาตมาชอบเล่นหวย เล่นแชร์ครั้งนับหมื่นบาทก็ไม่เป็นความจริง แต่ก็ยอมรับว่าเล่นและเคยติดค่าแชร์อยู่บ้างเป็นบางครั้ง แต่ที่เล่นก็เพราะต้องการนำเงินมาบำรุงวัดวาอารามเท่านั้น  เพราะทุกวันนี้ทุกคนไม่รู้หรอกว่าวัดขาดอะไรบ้าง หรือต้องการอะไรบ้าง  แต่ที่อาตมาเสียใจก็มีอยู่บ้าง คือ เคยมีผู้สื่อข่าวนำข่าวไปลงแล้วใส่ความอาตมาอยู่หลายเรื่อง โดยที่ไม่เคยมาถามอาตมาเลย และที่สุดนี้อาตมาก็ฝากขอโทษกับครอบครัวของโยมต้าด้วยและย้ำว่า หลังมีการเคลียร์กันแล้วก็ไม่เคยเอาไปพูดที่ไหนอีก

ทั้งนี้จากการหาข้อมูลของผู้สื่อข่าว  ทราบว่า ไวยาวัจกรวัดดำรงธรรม  ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้วหลายราย  และศรัทธวัดดำรงธรรมที่เข้ามาช่วยเหลือวัดตั้งแต่พระครูไกรสรวิลาสได้เข้ามาอยู่ใหม่ ๆ  ก็ได้ทยอยพากันไม่เข้าวัดนี้อีก  เนื่องจากพระครูไกรสรวิลาสประพฤติตัวไม่เหมาะสม  และสร้างความแยกในหมู่คณะศรัทธา(ภาพไวยาวัจกรวัดดำรงธรรม ยื่นหนังสือลาออก)